รู้จักโรคเซ็บเดิร์ม อาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง

รู้จักโรคเซ็บเดิร์ม อาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง

เซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) โรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง โดยมีลักษณะเป็นผื่นคัน แดง เป็นสะเก็ด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพบได้บ่อยที่บริเวณหนังศีรษะ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า อก แผ่นหลัง อาการของโรคเซ็บเดิร์มนี้จะมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับโรคอีสุกอีใส โรคภูมิแพ้ และโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับโรคเซ็บเดิร์มให้มากขึ้นกันค่ะ

โรคเซ็บเดิร์มคือ อะไร มีอาการอย่างไรบ้าง?

เซ็บเดิร์มเป็นโรคที่มีลักษณะเป็นรังแค หรือสะเก็ดหนาบริเวณศีรษะ ใบหน้า และตามส่วนอื่นๆ ในร่างกาย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบที่บริเวณศีรษะและใบหน้า ซึ่งมักจะพบในทารกที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือน และจะหายไปเมื่ออายุมีการเจริญเติบโตครบ 1 ปี นอกจากนี้เซ็บเดิร์ม ยังพบได้ในผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไปได้อีกด้วย โดยมีอาการดังต่อไปนี้

  • ผิวหนังเป็นสะเก็ด ทั้งยังมีลักษณะผิวมันแข็ง เป็นแผ่นหนา โดยมีสะเก็ดสีขาวและสีเหลือง
  • ผิวหนังมีอาการลอกเป็นขุยสีขาวและสีเหลืองจำนวนมาก
  • ผิวมีลักษณะแดง คัน บริเวณที่เป็น
  • บริเวณเปลือกตาเป็นสีแดง แข็ง บางครั้งเกิดการอักเสบขึ้นมา
  • มีอาการปวดร่วมด้วย

โรคเซ็บเดิร์ม มีสาเหตุมาจากอะไร

ลักษณะของโรคเซ็บเดิร์ม ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่สาเหตุดังต่อไปนี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเซ็บเดิร์มได้

1.สาเหตุทางพันธุกรรม

2.ภาวะความเครียด

3.สภาพอากาศที่หนาวเย็น แห้ง

4.เกิดเชื้อราที่ผิวหนัง

5.เกิดจากการใช้ยารักษาโรคประจำตัว

6.เกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ โรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย และโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น

วิธีการรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่ถูกต้อง

แน่นอนว่าโรคเซ็บเดิร์ม หากเป็นในระยะเบื้องต้นจะมีวิธีการรักษาที่เราสามารถทำได้ด้วยตนเอง ก็จะทำให้กลับมาหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าหากโรคมีความรุนแรงขึ้นหรือไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งต้องมีแพทย์คอยดูแลและนัดให้มารักษาพร้อมติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีวิธีดูแลรักษาทั้งแบบที่ทำได้ด้วยตนเอง และรักษาจากแนวทางการแพทย์ดังนี้ค่ะ

1.วิธีรักษาโรคเซ็บเดิร์มด้วยตนเอง

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มด้วยตนเองนั้น หากเป็นโรคในระยะแรก เราสามารถทำการรักษาด้วยตนเองได้ซึ่งมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

  • ทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำทุกวัน ด้วยวิธีการฟอกสบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวหนัง
  • ทาครีมบำรุงที่มีความอ่อนโยนต่อผิว เพื่อให้ผิวเกิดความชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่อาจส่งผลให้เกิดความรุนแรงและอาการลุกลามมากยิ่งขึ้น
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง
  • แนะนำให้ออกไปรับแดดหรือแสงยูวีในช่วงเช้า เพราะแสง UV จะช่วยฆ่าเชื้อที่เกิดจากโรคเซ็บเดิร์มได้
  • หลีกเลี่ยงการเกาหรือแกะ เพราะจะทำให้เกิดแผล และมีอาการเพิ่มขึ้น
  • หากเปลือกตามีลักษณะอักเสบบวมแดง ให้หมั่นทำความสะอาดด้วยวิธีการใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดที่เปลือกตาเบาๆ
  • แนะนำให้ใช้แชมพูหรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมในการช่วยขจัดรังแคหรือช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

2.วิธีรักษาโรคเซ็บเดิร์มด้วยแนวทางการแพทย์

ในทางการแพทย์จะมีวิธีและขั้นตอนการรักษาที่อยู่ในความดูแลตลอดจนการควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด และจะนัดคนไข้มาเพื่อติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

  • แพทย์จะสั่งจ่ายครีม แชมพู หรือยาขี้ผึ้งที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวหนัง
  • แพทย์จะแนะนำให้คนไข้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตนาโซลและใช้สลับกับยาคลอเบตาโซล
  • แพทย์จะสั่งจ่ายเจลหรือครีมที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • รักษาด้วยยา โดยแพทย์จะทำการสั่งจ่ายยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • รักษาด้วยวิธีการบำบัดแบบใช้แสงร่วมกับการใช้ยา

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเซ็บเดิร์มที่อาจจะเกิดขึ้น

ในขั้นตอนของการรักษาโรคเซ็บเดิร์ม จะมีกระบวนการและวิธีการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หรือยาที่ช่วยในการลดการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งถ้าหากใช้เป็นเวลานานจะส่งผลต่อร่างกายและทำให้ผิวหนังมีความบอบบางได้นั่นเอง นอกจากนี้ในรายที่แพ้สารสเตียรอยด์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาได้เช่นกัน

โรคเซ็บเดิร์มถึงแม้ว่าจะเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของผิวหนังที่ไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่ถ้าหากปล่อยไว้เป็นเวลานาน หรือไม่มีการรักษา อาจจะทำให้เกิดอาการเรื้อรังของโรคได้ ดังนั้นหากท่านที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าว หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็น ควรนำวิธีการรักษาที่ถูกต้องและวิธีการป้องกันที่เราแนะนำนี้ไปปฏิบัติ แน่นอนว่าโรคดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับร่างกายของท่านแต่อย่างใด