ผื่นกุหลาบ เอดส์มีลักษณะอย่างไร

ผื่นกุหลาบ เอดส์มีลักษณะอย่างไร

ผื่นกุหลาบ เอดส์ (Pityriasis Rosea) หรือที่เรียกกันว่าผื่น 100 วัน มีลักษณะของผื่นเป็นขุยขึ้นและมีลักษณะเป็นดอก ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อไวรัส ผื่นกุหลาบ เอดส์ นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยอายุ 10-35 ปี โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นบริเวณหน้าอก, แผ่นหลัง, หน้าท้อง ซึ่งหากผู้ใดเป็นผื่นกุหลาบ เอดส์นี้จะมีอาการคันร่วมด้วย เราจึงจะพาทุกท่านไปรู้จักอาการของผื่นชนิดนี้ ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วจะมีวิธีการรักษาและวิธีการป้องกันอย่างไร

ผื่นกุหลาบ เอดส์คืออะไร? มีอันตรายมากเพียงใด?

ผื่นกุหลาบ เอดส์ (Pityriasis Rosea) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส มีลักษณะของผื่นเป็นขุยและเป็นวงคล้ายดอกกุหลาบ ขึ้นเป็นสีแดงตามร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วจะพบที่หน้าท้อง, หน้าอก และหลัง ซึ่งหากผู้ใดที่เป็นผื่นกุหลาบ  เอดส์แล้วนั้น อาการจะหายไปเองภายใน 6-9 สัปดาห์ โดยผู้ที่เคยเป็นโรคผื่นกุหลาบ เอดส์บางประเภทแล้ว จะไม่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

สาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นกุหลาบ เอดส์

ถึงแม้ว่าอาการของผื่นกุหลาบ เอดส์ (Pityriasis Rosea) นั้นจะมีสาเหตุของการเกิดโรคที่ไม่มีความแน่ชัด แต่ปัจจัยที่จะส่งผลให้เกิดอาการดังกล่าว ที่มีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมีดังต่อไปนี้

  • เกิดจากการรับประทานยาบางชนิด หรือยารักษาโรคบางชนิด ที่ไปกระตุ้นให้เกิดการแพ้และลุกลามขึ้นมาเป็นผื่นกุหลาบ เอดส์ได้
  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูลเฮอร์ปีส์ (Herpes Virus) ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสและโรคเริมนั่นเอง

วิธีการรักษาผื่นกุหลาบ เอดส์

ผื่นกุหลาบ เอดส์ (Pityriasis Rosea) เกิดขึ้นจากความบกพร่องของร่างกายที่มีการทำงานผิดปกติ ดังนั้นหากท่านใดที่มีอาการคล้ายกับผื่นกุหลาบ เอดส์ ควรที่ต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • การรับประทานยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งยาในกลุ่มเหล่านี้จะเป็นยาที่ช่วยรักษาได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นยาที่มีสารสเตียรอยด์และอยู่ในการควบคุมของแพทย์ผู้มีความชำนาญ
  • หากมีอาการที่ลุกลามจนทำให้เกิดอาการเรื้อรังแล้วนั้น แพทย์จะทำการฉายรังสีเพื่อทำการรักษาโรค ซึ่งเป็นกลุ่มรังสีอัลตราไวโอเลต B นั่นเอง

แนวทางในการป้องกันและดูแลตนเองหากเกิดผื่นกุหลาบ เอดส์

หากอาการไม่มีความรุนแรง หรือมีอาการในระยะเริ่มแรก ควรมีการปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน ให้อาบน้ำเย็นแทน เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะไปกระตุ้นการลุกลามของผื่นได้
  • ควรมีการพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ให้เกิดภาวะความเครียด
  • แนะนำให้ไปอาบแดดในช่วง 10.00-14.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากปริมาณของแสง UV ในเวลานี้จะมีปริมาณสูง จะช่วยรักษาและฆ่าเชื้อที่เกิดจากผื่นได้
  • ในขณะที่ทำความสะอาดชำระล้างร่างกายนั้น ควรใช้สบู่ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและมีส่วนผสมที่ช่วยฆ่าเชื้อ เพื่อให้ร่างกายมีความสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการระคายเคือง หรือทำให้ร่างกายเกิดการหมักหมม เพราะอาจจะทำให้ผื่นมีการลุกลามได้
  • ในขณะที่มีอาการของผื่นกุหลาบ เอดส์ ไม่ควรที่จะเกาหรือแกะ เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดบาดแผล ทำให้มีผื่นขึ้นตามร่างกายเพิ่มขึ้น

ผลข้างเคียงของอาการผื่นกุหลาบ เอดส์

แน่นอนว่าอาการของผื่นกุหลาบ เอดส์ (Pityriasis Rosea) จะสามารถมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ซึ่งผลข้างเคียงของกุหลาบเอดส์ จะส่งผลความรุนแรงอย่างมากหากไม่ได้รับการรักษาและปล่อยไว้เป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้มีอาการดังต่อไปนี้

  • เกิดความเครียดหรือความวิตกกังวล ในลักษณะของอาการที่ขึ้นทั่วร่างกาย
  • ในบางรายอาจทำให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรง
  • ผู้ที่เป็นผื่นกุหลาบ เอดส์ หากอาการหายไปแล้ว ตามร่างกายก็จะยังคงเหลือรอยช้ำของผื่นอยู่บ้าง และรอยช้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา
  • ผู้ที่มีอาการของผื่นกุหลาบ เอดส์ ถ้าหากเป็นเวลาที่นานเกิน 3 เดือน อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
  • หากหญิงตั้งครรภ์มีอาการของผื่นกุหลาบ เอดส์ แพทย์จะทำการคลอดบุตรก่อนกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงและเกิดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์

ถึงแม้ว่าผื่นกุหลาบ เอดส์ หากเป็นในระยะเริ่มต้นจะไม่มีความรุนแรง แต่การที่มีแนวทางและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง จะช่วยรักษาได้ทันเวลา จะทำให้อาการของผื่นนั้นหายเร็วขึ้น และไม่สามารถกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งแน่นอนว่าผื่นกุหลาบ เอดส์ เป็นอาการที่ไม่สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ แต่เมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานไม่มีการรักษา ก็จะทำให้ผื่นนั้นมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทำให้การรักษาเป็นไปได้ยาก ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวที่คล้ายคลึงกับผื่นกุหลาบ เอดส์ เมื่อรับประทานยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นหรือมีการเพิ่มขึ้นของผื่นไปทั่วร่างกาย ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค หรืออาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผื่นกุหลาบก็เป็นไปได้